วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หัวหน้าครอบครัว

ได้อะไรจากข่าวนี้

จากเหตุการณ์ดังกล่าวผู้เสียชีวิตคือหัวหน้าครอบครัว ที่ต้องดูแลคชจ.ทุกอย่างในบ้าน ประกันจ่ายค่าสินไหมกรณีเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ 1ล้าน 2 แสนบาท

ที่เรียกร้องและพยายามไกล่เกลี่ย คือ 6 ล้านบาท ในข่าวระบุว่าเหลืออายุราชการอีก 15 ปี ที่ต้องดูแลพ่อแม่ ภรรยา บุตรอีก 2 คน

ในวันนี้หลายคนยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำประกันชีวิต จากเหตุการณ์นี้คงทำให้ใครหลายคนคิดได้ว่า เมื่อวันหนึ่งคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว จากโลกนี้ไป เขาไม่ได้จากไปเพียงแต่ตัว เขาได้เอาค่าตัวเขาไปด้วย
กี่ชีวิต ที่เขาต้องดูแล รายได้กี่บาทที่เขาจะหาได้อีก15 ปี จนกว่าเขาจะเกษียณ
ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ที่ต้องรับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ในบ้าน

คำว่า "หัวหน้าครอบครัว" ไม่ได้หมายถึง สามีผู้เป็นพ่อ เท่านั้น หัวหน้าครอบครัว คือผู้ที่รับผิดชอบคชจ.ต่างๆ ในบ้านครอบคลุมทุกคน พูดง่ายๆ คือเสาหลักของครอบครัว ในวันนี้ลูกอาจจะเป็นเสาหลักครอบครัว แทนคุณพ่อ คุณแม่ที่แก่ชรา หลากลายสารพัดปัญหา และวิธีการที่คำว่า "หัวหน้าครอบครัว" จะอธิบายได้

หากในวันนี้หัวหน้าครอบครัวไม่อยู่แล้ว  ภาระค่าใช้จ่ายที่เคยอยู่ดีกินดี  หรืออยู่ไม่ดี กินไม่ดี แต่เมื่อขาดเขาไป ยิ่งทำให้ภาระที่มากมาย ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะทำให้คนที่อยู่ลำบากมาก ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ค่าเทอมของลูก  ค่ากิน ค่าอยู่ อีกสารพัด

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเจียดเงินส่วนน้อย มาเป็นเบี้ยประกันชีวิต สำหรับคนที่เรารัก เพื่อถ้าาหากวันนี้ เราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว คนที่เรารักยังอยู่ดีกินดี แม่ที่เป็นม่ายหากขาดสามีไป ยังได้เงินส่งเสียลูกให้เรียนต่อจนจบการศึกษา ตามที่เราหวังไว้  มีเงินมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป

เราจะรู้หรือไม่ พรุ่งนี้เราจะตื่นมั้ย  เราจะยังมาทำงานได้หรือเปล่า เรายังจะทำมาหากินได้มั้ย เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าอนาคตพรุ่งนี้เป็นอย่างไร


***

หลายคนสงสัยว่าทำประกันชีวิตควรจะต้องทำทุนประกันเท่าไหร่ 2 แสน หรือ 3 แสน
เงินดังกล่าวไม่มีคำจำกัดว่าน้อยหรือว่ามาก
เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของอีกวันหนึ่งในอนาคต
เอาเป็นว่าหากเรามีเป้าหมายขอให้ทำไว้ตามกำลังที่เราสามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันได้
มีมากทำมากให้เหมาะสมกับความสามารถ มีน้อยทำน้อย ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
เพราะทุกวันนี้เมื่อจากโลกนี้ไป จะมีใครหลายคนถามว่า "ได้เงินประกันเท่าไหร่"




วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทุ่มสุดพลังเพื่อสองท่านที่เรารักมากที่สุด

เพราะคำว่ายากจนหรือไม่มี ทำให้คนเราจะเลือกได้ 2 ทางคือ
1.  เลือกดิ้นรน ใฝ่ดี ตั้งใจเรียนรู้ ตั้งใจทำงาน ขยันทำมาหากิน เพราะคำว่ายากจนเขาบอกว่าไม่ได้เป็นกรรมพันธุ์ ซ้ำร้ายความยากจนเป็นเรื่องน่ากลัวมากนัก
2.  เลือกมีชีวิตอยู่แบบเรื่อยๆ ไม่ต้องดิ้นรนอะไร ไม่มีก็ไม่ใช้ อยู่ตามมีตามเกิด ตามบุญวาสนา (คิดไปเอง)

สำหรับผมเลือกข้อ  1 ที่จะตั้งใจทำงานหาเงิน ตั้งใจเรียนรู้ ใฝ่ดี ขยัน ซื่อสัตย์ เอาคำว่าไม่มี มาเป็นแรงผลักให้ตัวเราเองสู้อย่างเข้มแข็ง ต้องขอบคุณความจน ที่ทำให้ผมยืนหยัดที่จะสู้ บนรสชาดของชีวิตความจน ทำให้เราดิ้นรนขยันทำมาหากิน ตั้งใจใฝ่เรียนรู้ เพื่อใบปริญญาตรี ที่พร้อมจะเป็นใบเบิกทางในชีวิตการทำงานออฟฟิศ ที่ได้ประสบการณ์ชีวิตอีกแบบหนึ่ง ซึ่งต่างจากครอบครัวชาวนาของบรรพบุรุษ

สองคนในรูปนี้  คือพ่อแม่อันเป็นที่รักของครอบครัว สมัยก่อนท่านทั้งสองเลี้ยงลูกๆ มาด้วยความยากลำบาก คุณแม่เล่าว่าต้องตำข้าวเปลือก แล้วใช้กระด้งฝัดเอาแต่ข้าวสารมาเลี้ยงน้องๆ เนื่องจากชนบทบ้านเรายังไม่มีโรงสีข้าว  มีเพียง "ครกมอง" ที่ใช้ตำข้าวเปลือก แล้วแปลงสภาพมาเป็นข้าวสาร  กว่าจะได้กินข้าวเหนียวนึ่ง ต้องผ่านกรรมวิธีที่ลำบากพอสมควรแต่คนสมัยก่อนก็ผ่านมาได้แบบสบาย

เพราะคำว่าห่างไกลความเจริญทำให้โอกาสทางการศึกษามีน้อยมากสำหรับคนชนบทเช่นเรา เมื่อเห็นพ่อแม่ลำบากมาตั้งแต่เกิด แต่คุณพ่อคุณแม่ก็เลี้ยงลูกได้ดีมาก มากจนคิดว่า ณ เวลานี้เรายังเลี้ยงท่านได้ไม่ดีเท่ากับท่านเลี้ยงเราเมื่อตอนเด็ก แต่ท่านก็ให้ลูกได้เรียนหนังสือให้สูงที่สุดเหมือนๆ กับพ่อแม่ของคนในเมือง ที่ต้องให้ลูกเรียนหนังสือ

ถึงเวลานี้แล้วที่เราต้องสู้ ทำงานให้ประสบผลสำเร็จในอาชีพ ถอยไม่ได้เด็ดขาด เราจะต้องทำงานเพื่อให้พ่อแม่ของเราได้อยู่แบบสบาย ไม่ต้องทำงานหนักแล้ว เพราะท่านเหนื่อยมามาก พระคุณพ่อแม่ ยกไว้บนหัวเหนือสิ่งอื่นใด

เสื้อผ้าที่เราใส่เมื่อครั้งยังเด็ก ท่านทั้งสองเป็นผู้ซื้อให้ลูกๆ ใส่ วันนี้สุขใจเหลือล้น เพราะเสื้อผ้าที่พ่อกับแม่ใส่คือที่เราซื้อให้  น้ำตาจะไหล ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของลูก